"CGSI" พร้อมเดินหน้า ชี้โอกาสนักลงทุนไทย-จีน ขยายตลาดเอเชีย

 บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGS TH เปิดแผนธุรกิจและกลยุทธ์กับก้าวใหม่ในตลาดทุนไทย เดินหน้ารุกธุรกิจวาณิชธนกิจ กองทุนส่วนบุคคล หุ้นกู้อนุพันธ์ และบริการซื้อขายหุ้นต่างประเทศ 

แครอล ฟง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ CGSI เล่าว่า พร้อมที่จะดำเนินการตามวิสัยทัศน์เพื่อเป็น ศูนย์กลางการลงทุนระดับโลกของเอเชีย ซึ่งในปี 2565 กลุ่ม CGSI ได้กำหนดแผนธุรกิจเชิงกลยุทธ์ เพื่อนำกลุ่ม บริษัทไปสู่ธุรกิจที่มีความหลากหลายและเติบโตอย่างยั่งยืน

โดยในปีที่ผ่านมากลุ่ม CGSI บรรลุข้อตกลงสำหรับดีลวาณิชธนกิจมากกว่า 40 รายการในสิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย ซึ่งในจำนวนนี้เป็นดีลของทีมงานประเทศไทยถึง 34 รายการ ความสำเร็จเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของความมุ่งมั่นที่กลุ่ม CGSI มอบบริการที่มีคุณค่าให้กับลูกค้า

กลุ่ม CGSI มีใบอนุญาตธุรกิจวาณิชธนกิจในมาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์และไทย รวมถึงมีใบอนุญาตการจัดการสินทรัพย์ในสิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย โดยกลุ่ม CGS International มีกลุ่ม China Galaxy Securities (CGS) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่

โดย CGS International เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีมาตรฐานการให้บริการทางการเงินที่ความน่าเชื่อถือ และเป็นผู้ให้บริการทางการเงินชั้นนำในเอเชียมากว่า 45 ปี และ CGS TH ได้อยู่เคียงข้าง CGS International มาตลอดเส้นทางการลงทุนของลูกค้าเป็นเวลาเกือบ 25 ปี

พัชระนนท์ ชีวเกรียงไกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CGS TH เล่าว่า บริษัทฯพร้อมเดินหน้าเชิงรุกขยายธุรกิจในตลาดทุนไทย ไปพร้อมกับผู้ถือหุ้นใหญ่คือ China Galaxy Securities ซึ่งนอกจากบริษัทแม่จะช่วยสนับสนุนความแข็งแกร่งให้ CGS TH สร้างความมั่นใจให้นักลงทุนมากขึ้นแล้ว บริษัทแม่ยังมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างจีนกับอาเซียนด้วย

โดย China Galaxy Securities เป็นของรัฐบาลจีน และเป็นโบรกเกอร์รายใหญ่อันดับ 2 ของสาธารณรัฐประชาชนจีน มีสาขากว่า 500 สาขาทั่วประเทศ

“ก้าวใหม่ของเราในตลาดทุนไทย นอกจากจะยังเน้นบริการธุรกิจหลักทรัพย์ที่หลากหลายตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแล้ว ภายใต้ความแข็งแกร่งทางธุรกิจที่สืบสานมานานถึง 45 ปี และด้วยศักยภาพของผู้ถือหุ้นใหญ่จากจีน เราจะเน้นเพิ่มโอกาสการลงทุนให้ลูกค้าไปสู่ตลาดที่น่าสนใจ อย่างอาเซียนด้วย” 

แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2024

บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการให้บริการด้านธุรกิจวาณิชธนกิจ (IB) , ธุรกิจ กองทุนส่วนบุคคล (Private Fund), หุ้นกู้อนุพันธ์ (Structure note) และบริการการซื้อขายหุ้นในต่างประเทศ พร้อมกับการพัฒนาเทคโนโลยีการลงทุนที่ทันสมัย ตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุน เพื่อสร้างการเติบโต อย่างมั่นคง ตอกย้ำความเป็นบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย

ทั้งนี้มองว่านักลงทุนสถาบันจากจีนที่เข้ามาลงทุนในไทยเป็นกลุ่มโอกาสสำคัญ โดยจุดแข็งที่เรามีคือ ใบอนุญาตธุรกิจวาณิชธนกิจในหลายประเทศ ทำให้นักลงทุนสถาบันให้ความสนใจ โดยบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 35% ของกลุ่มนักลงทุนสถาบัน และมี 4.1% ในส่วนแบ่งตลาดรวม โดยจะขยายในกลุ่มนักลงทุนสถาบันได้ถึง 1% ซึ่งจะทำให้บริษัทขึ้นมาเป็นอันดับ 5 ในตลาดรวม


ตัวเลขการลงทุนในตลาดต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกามีการหาข้อมูลการลงทุนได้ไม่ยาก แต่ในส่วนของจีน ไต้หวัน มั่นใจได้ว่าบริษัทมีข้อมูลเชิงลึกที่หลากหลายให้นักลงทุนได้ใช้เพื่อตัดสินใจ และอีกโอกาสที่สำคัญกองทุน Private fund ซึ่งนักลงทุนมองหาผู้ให้ข้อมูลที่ละเอียด โดยเรามีนักวิเคราะห์ในจีน 360 คน และมีนักวิเคราะห์ธุรกิจวาณิชธนกิจมากถึงกว่า 500 คน

ในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้ามีดีลลูกค้าที่จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้ประชาชนทั่วไป (IPO) เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET ) และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ไม่น้อยกว่า 10 บริษัท ส่วนธุรกิจบริการซื้อขายหุ้นในต่างประเทศ จากความพร้อมด้านเทคโนโลยีและนักวิเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญของกลุ่ม CGSI จะช่วยเพิ่มโอกาสและความสำเร็จให้ลูกค้าที่ใช้บริการซื้อขายหุ้นในต่างประเทศได้เป็นอย่างดี

กลุ่ม CGSI มีทีมนักวิเคราะห์จำนวนมากและสร้างผลงานโดดเด่น ทำให้กวาดรางวัลในปี 2023 กว่า 80 รางวัล ซึ่งในส่วนของ CGS TH นั้น ได้รับรางวัลจาก Asia Money นิตยสารด้านการเงินชั้นนำที่มี ผู้อ่านมากที่สุดในเอเชียถึง 14 รางวัล เป็นรางวัลยอดเยี่ยมอันดับหนึ่ง ถึง 12 รางวัล

นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลจากสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) ประจำปี 2023 จำนวน 7 รางวัล โดยเฉพาะรางวัลทีมวิเคราะห์การลงทุนยอดเยี่ยมนั้น ได้รับมาต่อเนื่อง 2 ปีซ้อนแล้ว และล่าสุดยังได้รับรางวัล Best Broker จาก FinanceAsia Awards 2024 ด้วย

“รางวัลเหล่านี้ เป็นรางวัลที่ได้มาจากความไว้วางใจของลูกค้าสถาบันและลูกค้าบุคคล ซึ่งสะท้อนว่า CGS TH เป็นผู้นำในธุรกิจหลักทรัพย์ของไทย และเราจะยังคงมุ่งมั่นขับเคลื่อนองค์กรตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนต่อไป”