อะไรที่ทำให้ "Nissan" คือแบรนด์รถในใจตลอด 90 ปี

Last updated: 18 ก.พ. 2567  |  156 จำนวนผู้เข้าชม  | 

"Nissan" ทำอะไรบ้าง "Dare to do what others don’t."

 นิสสัน "Nissan" รถยนต์แบรนด์จากญี่ปุ่นในดวงใจหลายคนเพิ่งฉลองครบ 90 ปีเต็มของการก่อตั้งไปหมาดๆ เมื่อปลายเดือนธันวาคมนี้เอง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นิสสันมักมีสิ่งใหม่ๆ ที่คนคาดไม่ถึงมานำเสนออยู่เสมอ


มาดูเส้นทางการก้าวสู่การเป็นแบรนด์ระดับโลกว่าตลอด 9 ทศวรรษที่ผ่านมานิสสันทำอะไร และมีอะไรบ้าง ที่นิสสัน กล้าที่จะทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าทำ “dare to do what others don’t


นิสสัน มอเตอร์ ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1933 ที่เมืองโยโกฮามา เพื่อผลิตรถยนต์ขึ้นเองในประเทศญี่ปุ่น เป็นรถยนต์ที่ผลิตจำนวนมากหรือ mass production ราคาพอสมควร สามารถแข่งขันกับแบรนด์รถยนต์จากต่างประเทศได้ ให้คนมีโอกาสได้ใช้รถกันอย่างสะดวก


หลังจากก่อตั้งแล้วไม่นาน นิสสัน มอเตอร์ ก็เริ่มส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ในเอเชีย อเมริกาและภูมิภาคต่างๆ ก่อนจะขยายธุรกิจไปทั่วโลก มีโรงงานผลิตในหลายๆ ภูมิภาค


โดยในปัจจุบันนิสสันมีโรงงานผลิตในประเทศไทยซึ่งผลิตทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถยนต์กระบะหนึ่งตันเพื่อการพาณิชย์ รวมถึงยังเป็นฐานการประกอบแบตเตอรี และชุดขับเคลื่อนของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบ อี-พาวเวอร์ เพื่อส่งออกไปทั่วภูมิภาคอาเซียนและหลายประเทศทั่วโลก


ทั้งนี้ยังได้ร่วมมือทางเทคนิคและเข้าซื้อกิจการบริษัทอื่นๆ เช่น การร่วมมือด้านเทคนิคกับออสติน มอเตอร์ ของอังกฤษ การเข้าซื้อกิจการ ปริ๊นซ์ มอเตอร์ เป็นต้น ทำให้รถยนต์ของนิสสันมีความหลากหลาย มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว


เมื่อผนวกกับความสามารถของทีมวิศวกรชั้นนำของนิสสัน ทำให้ตลอด 90 ปีที่ผ่านมา นิสสันได้สร้างสรรค์นวัตกรรมที่เป็นครั้งแรกของโลกมากมาย เช่น รถมินิแวนรุ่นแรกของโลก (Prairie Model M10) การใช้หุ่นยนต์แบบหลายแขน (multi-arm robot) เพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในการผลิต


การพัฒนารถขับเคลื่อนสี่ล้อที่ใช้ระบบกันสะเทือนแบบมัลติลิ้งค์ เทคโนโลยี Bird Eye View Navigation การพัฒนารถรุ่น Bluebird Sylphy ที่ผลิตไอเสียต่ำ หรือ super ultra-low emission vehicle ซึ่งปล่อยไอเสียน้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนดได้ถึง 75%



และรุ่นที่คนขับรถหลายคนทั่วโลกพอจะคุ้นหน้ากันคือ นิสสัน ลีฟ (LEAF) รถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของโลกที่ผลิตและขายในเชิงพาณิชย์ ผลงานที่สะท้อนความ Dare to do what others don’t มากที่สุดของนิสสัน จะมีทั้งสองขั้ว คือ ฝั่งสมรรถนะ กับฝั่งที่เป็นรถยนต์พลังงานทางเลือกเพื่อความยั่งยืน



ในกลุ่มรถสมรรถนะสูงแน่นอนว่าชื่อของ สกายไลน์, จีที-อาร์, และ แซท (Z) ที่ล้วนแต่เป็นรถในฝันของนักเลงรถ เพราะไม่เป็นสองรองใครในเรื่องของวิศวกรรม การออกแบบ และประวัติในฐานะแชมป์สนามแข่งระดับตำนาน และสุดยอดความภูมิใจของนิสสัน อาทิ นิสสัน จีที-อาร์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพในสนามแข่ง



และเป็นครั้งแรกที่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นเอาชนะค่ายรถยนต์ที่เคยครองแชมป์สนามแข่งมาหลายปีในหลายๆ สนามได้อย่างราบคาบในยุค 1960s และมีการพัฒนาต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้ รุ่นล่าสุดคือ GT-R R35 และแม้กระทั่งในงาน Japan Mobility Show หรือโตเกียวมอเตอร์โชว์โฉมใหม่ซึ่งจัดไปเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา หนึ่งในคอนเซ็ปต์คาร์ของนิสสันก็ยังรวมถึงรถสมรรถนะสูงอย่าง ไฮเปอร์ ฟอร์ซ ซึ่งเปรียบเสมือนตัวตายตัวแทนของ จีที-อาร์ R35 อีกด้วย


ในอีกขั้วหนึ่งคือ รถยนต์พลังงานทางเลือกที่กำลังเป็นเทรนด์สำคัญในปัจจุบัน ซึ่งเรากำลังเผชิญผลกระทบจากภาวะโลกร้อน และความต้องการของการใช้พลังงานสะอาดอย่างยานยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน



ซึ่งที่จริงแล้วรถยนต์พลังงานไฟฟ้าไม่ได้เป็นเรื่องใหม่สำหรับนิสสัน เพราะรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอยู่คู่ประวัติศาสตร์นิสสันมาเกือบ 80 ปีแล้ว นั่นก็คือ รถไฟฟ้ารุ่นแรกที่ชื่อ TAMA ที่ถูกพัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี 1947 หลังสงครามโลกจบลงใหม่ๆ


ญี่ปุ่นขาดแคลนน้ำมัน อาหารและทรัพยากรต่างๆ แต่มีพลังงานไฟฟ้ามาก เพราะแทบจะไม่มีการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านหรือการผลิตเลย จึงเกิดไอเดียที่จะพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าขึ้น TAMA วิ่งได้ไกลถึง 96 กิโลเมตร ด้วยความเร็ว 35 กิโลเมตรต่อชั่วโมงถือว่าล้ำหน้ามากในยุคนั้น


นับจนถึงวันนี้ รถยนต์ไฟฟ้ากลับมาเป็นความหวังของคนทั้งโลกอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะพลังงานไฟฟ้ามีเหลือเฟือ แต่เพราะคนทั้งโลกตระหนักถึงความรับผิดชอบในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนมากขึ้น นิสสันได้พัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้าต่อเนื่อง เช่น นิสสัน ลีฟ (Leaf) นิสสัน ซากุระ (Sakura) และนิสสัน อริยะ (Ariya)



แม้กระทั่งคอนเซ็ปต์คาร์ทั้ง 5 รุ่นของนิสสันที่แสดงในงานเจแปน โมบิลิตี้ โชว์ที่ผ่านมา เป็นรถพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด รวมทั้งยังพลิกโฉมดีไซน์และฟังก์ชั่นการใช้งาน สะท้อนให้เห็นว่ารถยนต์แห่งอนาคตจะช่วยให้เราใช้ชีวิตได้เต็มที่พร้อมกับแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมได้มากแค่ไหน


สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานให้สอดคล้องกับวิถีการใช้ชีวิต ตอกย้ำมุมมองของนิสสันที่เชื่อว่ารถยนต์แห่งอนาคต คือ รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า และเทคโนโลยีรถยนต์อัจฉริยะที่จะสร้างความตื่นเต้น (Vehicle intelligence that electrifies our future)


สำหรับลูกค้าชาวไทยนิสสันเป็นรถสามัญประจำบ้านของหลายครอบครัวมาตลอด 70 กว่าปีที่นิสสันเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่รุ่นแรกๆ ที่ยังคงใช้แบรนด์ดัทสันก่อนจะเปลี่ยนชื่อมาเป็นนิสสัน เพราะความคุ้มค่า คุณภาพดี ขับขี่และดูแลรักษาง่าย ไม่ว่าจะเป็นรถบ้านหรือรถกระบะที่ขึ้นชื่อว่าทนทาน อึด บรรทุกของได้มาก วางใจได้


และในปัจจุบันก็มีรถยนต์ให้เลือกหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นรถซีดาน เอสยูวี รถสำหรับครอบครัวหรือ PPV และรถกระบะก็ตาม รวมทั้งยังมีเทคโนโลยีการขับเคลื่อนหลากหลายทั้งแบบที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และเทคโนโลยี อี-พาวเวอร์ (e-POWER) ที่ให้ฟีลการขับขี่แบบรถยนต์ไฟฟ้า 100% แต่ไม่ต้องชาร์จไฟจากภายนอก ทำให้ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่


แฟนของนิสสันที่มีแพลนไปเที่ยวญี่ปุ่นสามารถแวะไปเยี่ยมนิสสัน แกลเลอรี่ (Nissan Global Headquarters Gallery) ที่โยโกฮามาได้ด้วย ที่นี่เป็นที่รวมเอารถยนต์รุ่นสำคัญๆ จากอดีตถึงปัจจุบัน และคอนเซ็ปต์คาร์แห่งอนาคตไว้ในที่เดียว และเปิดให้ผู้เข้าชมสามารถเข้าไปนั่งได้ สัมผัสรถแต่ละรุ่นได้ ซึ่งจะทำให้ได้เห็นพัฒนาการของรถยนต์รุ่นต่างๆ เทคโนโลยีที่น่าสนใจตลอด 90 ปีที่ผ่านมา


และถ้าไม่อยากเดินละเลียดชมทีละรุ่น นิสสันยังมีบอร์ดจัดแสดงรถจำลองคันจิ๋วครบทุกรุ่นตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท เรียงตามลำดับมาจนถึงปัจจุบันให้ได้ชมวิวัฒนาการกันเต็มที่ และมีมุมจำหน่ายของที่ระลึกเก๋ๆ ด้วย


สนใจรายละเอียดมากกว่านี้ แนะนำให้เข้าไปดูวีดีโอ หรืออ่านข้อมูลเรื่องราวตลอด 90 ปีของนิสสัน ที่คุณอาจไม่เคยรู้ไว้ที่ เว็บไซต์  หรือจะโหลดหนังสือที่สรุปเรื่อง 90 ปีไว้ในไม่กี่หน้าได้ที่นี่  

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้